วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แนวทางการมองโลกของอภิมหาเศรษฐี

ไขเคล็ดลับวิธีการคิดและแนวทางการมองโลกของอภิมหาเศรษฐี
จากเมล์ที่ได้รับ - Thomas Stanley
--------------------------------------------------------------------------------


      บทความที่นำเสนอสรุปจากหนังสือเรื่อง The Millionaire Mind แต่งโดย Thomas Stanley ผู้แต่งรวบรวมข้อมูลในทุกแง่ทุกมุม ทั้งจากการการสัมภาษณ์และจากการศึกษาแนวทางในการดำเนินชีวิตของเหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย เพื่อค้นหาลักษณะนิสัยร่วมกันและปัจจัยแห่งความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ลักษณะนิสัยที่เหมือนกันของเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย ได้แก่
1. มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง
   พวกเขามักใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่หรูหราฟู่ฟ่าจนเกินความจำเป็นกินอยู่และแต่งกายอย่างประหยัดและเหมาะสมตามกาละเทศะเมื่อมีสิ่งของหรือเครื่องใช้เกิดการชำรุดเหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายมักเลือกที่จะลองซ่อมแซมดูก่อนมากกว่าเลือกที่จะซื้อใหม่เพราะพวกเขารู้ถึงคุณค่าของเงิน จึงไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย นอกจากนั้น คำว่า "ร่ำรวย"ในสายตาของบุคคลเหล่านี้หมายถึง การมีรายรับสูงและมีรายจ่ายต่ำในทางกลับกัน การมีรายได้สูงแต่มีการใช้จ่ายอย่างไม่จำกัด ประเภทหลังนี้  พวกเขาเรียกว่า การมีความเป็นอยู่แบบ "ยากจน"
2. ไม่เป็นพวกที่บ้างาน
         พวกเขาให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือญาติมิตรมาเป็นอันดับหนึ่งเพราะพวกเขาเชื่อว่า ความสบายใจ ความอบอุ่นภายในครอบครัวการมีสุขภาพที่ดีและการมีชีวิตส่วนตัวที่สมดุลย์กับชีวิตการทำงานจะเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในอนาคตฉะนั้น พวกเขาจึงไม่ทำงานจนเกินตัวและเลือกทำเฉพาะชิ้นงานที่สำคัญและเกิดผลประโยชน์อย่างมากต่อองค์กรอย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นคนที่ชอบเกี่ยงงานหรือเป็นคนที่เกียจคร้านแต่อย่างใดแต่มันหมายถึงการทำงานด้วยสติปัญญา ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ๆ ไป และในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเหล่านี้เป็นบุคคลที่ตั้งใจทำงานทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปตามแผนการที่วางไว้ นอกจากนั้นการที่พวกเขาพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างเพราะพวกเขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นอาจจะกลายมาเป็นลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันในภายภาคหน้าก็เป็นได้
3. ไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด
       ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีเงินทองหรือมรดกมากมายจากพ่อแม่มาตั้งแต่เกิดแต่พวกเขาก็พยายามต่อสู้ สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองและก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย เพราะผู้แต่งกล่าวว่าพวกเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่มักจะร่ำรวยตั้งแต่ก่อนอายุ 45 ปีเสียด้วยซ้ำอย่างไรก็ดี การที่พวกเขาต้องลำบากลำบนมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะตามใจลูก ๆ ของตนเองทุกอย่างเพื่อทดแทนสิ่งที่ตนเองขาดหายไปในวัยเด็กแต่พวกเขากลับมีวิธีการสอนให้ลูกรู้จักอดทน รู้จักคุณค่าของเงิน
มีความเป็นผู้ใหญ่ และกล้าที่จะเสี่ยงโดยเหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย มักจะสอนให้ลูก ๆ
รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในช่วงปิดเทอมโดยการทำงานพิเศษเพื่อหาเงินด้วยตนเอง ฝึกความมีระเบียบวินัยและฝึกฝนทักษะในการพึ่งพาตนเอง
4. ไม่ได้มีสติปัญญามากนัก
       เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดจึงจำเป็นต้องทำงานไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วย
ทำให้ผลการเรียนที่ออกมาไม่ค่อยสูงมากนัก ส่วนใหญ่แล้ว GPA ในระดับปริญญาตรีจะอยู่ประมาณ 2.9 เท่านั้นและด้วยความลำบากตรากตรำในการเรียนสิ่งนี้ทำให้เขารู้จักความอดทนและไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แม้เมื่อเจออุปสรรคในการทำธุรกิจ เขาก็จะไม่ตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะพวกเขารู้ดีว่า อุปสรรคกับความสำเร็จเป็นของคู่กันหากไม่มีอุปสรรคให้ข้ามผ่าน ชัยชนะที่ได้มาย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าความสำเร็จ นอกจากนั้น ช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยบรรดาเศรษฐีเหล่านี้ยังชอบที่จะผูกสัมพันธ์กับคนหลาย ๆประเภทเพื่อศึกษาพฤติกรรมและแนวความคิดของบุคคลเหล่านั้น และเพราะการได้พบปะเจอะเจอคนมากมาย ทำให้พวกเขามีทักษะในการเลือกคบคนซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาร ่วมงานในองค์กรได้เป็นอย่างดีและสุดท้าย จากมุมมองของเหล่าเศรษฐีทั้งหลาย พวกเขาเชื่อว่าชีวิตสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเวลาแห่งการแสวงหาตนเองเพื่อให้รู้ว่า ตนเองชอบหรือมีความถนัดในสิ่งใดและทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่เขารู้จักตนเองดีพอทำให้เขาสามารถเลือกทำงานที่ชอบและมีความถนัดได้ ซึ่งสองสิ่งนี้เองก็คือ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดนั่นเอง
5. กล้าที่จะเสี่ยงและมีใจรักในงานที่ทำ
        ด้วยใจรักในงานที่ทำทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะขวนขวายหาความรู้อยู่ตลอดเวลาจึงทำให้งานที่ออกมานั้น แทบจะไม่มีชิ้นใดเลยที่ไม่ประสบความสำเร็จและด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและทันสมัยดังกล่าว
รวมกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมทำให้พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับสินค้าของตนเอง ส่งผลให้พวกเขาสามารถครองตลาดสินค้าชนิดใหม่ ๆได้อย่างไม่ยากเย็นนักเมื่อนั้นทั้งความสำเร็จและความมั่งคั่งร่ำรวยย่อมไหลมาเทมาอย่างไม่ต้องสงสัย
6. มีคุณธรรมในจิตใจ
         เขาเชื่อว่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่เงินตราแต่อยู่ที่คุณธรรมความจริงใจที่มีให้แก่กัน ฉะนั้นพวกเขาจึงทำธุรกิจด้วยความซื่อตรง ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมาไม่มีการหลอกลวง ทำให้ธุรกิจของพวกเขาเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งนอกจากนั้น เขายังตระหนักดีว่า การหลอกลวงลูกค้าด้วยวิธีใดก็ตามแม้ว่าจะได้ผลกำไรที่งอกเงย แต่มันจะเป็นเพียงในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นเพราะเมื่อลูกค้าจับได้
เขาย่อมไม่กลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเราอีกอย่างแน่นอนในทางกลับกัน การค้าขายอย่างตรงไปตรงมาแม้ว่าจะได้ผลกำไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่วิธีนี้สามารถซื้อใจลูกค้าได้จึงทำให้บริษัทมีผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
--------------------------------------------------------------------------------


ปัจจัยแห่งความสำเร็จของเศรษฐีอเมริกัน


1. มีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
         การจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นจะต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป ็นทีมและด้วยประสบการณ์ในการพบปะผู้คนมากมายทำให้เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายเป็นคนช่างสังเกต เป็นผู้ฟังที่ดีและมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (EQ) ซึ่งทักษะประการหลังนี้พวกเขารู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ยาก
เพราะการที่คนเราจะมีความเกรงอกเกรงใจมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างเต็มที่และมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมนั้น ไม่ได้ฝึกกันได้แค่เพียงข้ามคืนแต่เป็นทักษะเฉพาะตัวและจะต้องใช้เวลาในการเพาะบ่มนิสัยเหล่านี้ ฉะนั้นในการคัดเลือกบุคลากรเหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายจะคัดเลือกเฉพาะคนที่เป็นคนดีมีความสามารถ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เพราะคนที่เก่งอย่างเดียวแต่ไม่มีคุณธรรม สามารถทำให้องค์กรล่มจมได้ในขณะเดียวกัน คนดีอย่างเดียวแต่ไม่มีความสามารถ
ก็ไม่สามารถพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้น เขาจึงเลือกคนดีที่มีความสามารถในระดับหนึ่งและพร้อมที่จะปรับปรุงพัฒนาตนเองอยู่เสมอและที่สำคัญที่สุดคือสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เท่านั้นยังไม่พอเมื่อพวกเขาได้บุคลากรตามคุณสมบัติดังกล่าวแล้วพวกเขาจึงใช้ทักษะในความเป็นผู้นำเพื่อบริหารองค์กร ได้แก่ การมีความสามารถในการโน้มน้าวจิตของลูกน้องให้ตระหนักถึงความสำคัญของงานที่ตนเองกำลังกระทำและเห็นความสำคัญในการทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อความสำเร็จขององค์กร
2. รับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ทุกรูปแบบ
         เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายต่างเข้าใจถึงสัจธรรมประการหนึ่งว่าในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและการกระทำของเราฉะนั้น เมื่อใดที่พวกเขาโดนวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขาจะไม่ปฏิเสธแต่จะเลือกฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่มีความรู้จริง ๆ ในสิ่งที่เขาพูดมิใช่เป็นการปรักปรำ หรือวิพากษ์วิจารณ์เพื่อความสะใจหรือเป็นข้อเท็จจริงที่เขาเหล่านั้นคิดขึ้นมาเอง นอกจากนั้น
ในบรรดาผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายบรรดาเศรษฐีอเมริกันจะเลือกที ่จะใส่ใจคำพูดของคนที่เสนอหนทางแก้ไขให้ด้วยเพราะแม้ว่าเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์จะเป็นความจริงก็ตามแต่หากไม่มีหนทางแก้ไขแล้วล่ะก็พวกเขาก็ไม่นำเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจเลยเพราะถือว่า เป็นเรื่องรกสมอง
3. มีความซื่อสัตย์ปากกับใจตรงกัน
        การมีความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นด้วยคุณสมบัติข้อนี้เองจึงทำให้เขาสามารถเลือกคู่ครองที่เหมาะสมที่มีคุณธรรมเช่นเดียวกันนี้ได้ คู่ครองเหล่านี้คือคนที่จะช่วยประคับประคองซึ่งกันและกันเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับอุปสรรคและช่วยสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันเมื่อชีวิตประสบความสำเร็จ
4. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
         เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายสามารถมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจได้อย่างเหนือชั้นอย่างที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง เพราะพวกเขาเหล่านั้นรู้จักใช้สัญชาตญาณพวกเขาเชื่อว่า ความสามารถพิเศษนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตใจมีความสงบผ่องใส และจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น ๆ อย่างต่อเนื่องและเมื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดในทุกแง่ทุกมุมจนความคิดตกตะกอนจึงเกิดเป็นความคิดริเรื่มสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
5. มีระเบียบวินัยและมีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน
         พวกเขาจะใช้พลังงานทั้งหมดด้วยความขยันและอดทนและจะทำงานทีละอย่างอย่างมีระเบียบวินัย นอกจากนั้น พวกเขายังรู้อีกว่าช่วงเวลาไหน ควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไรทเพราะพวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนจึงรู้ดีว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่ตรงจุดไหนบนเส้นทางของชีวิตจึงไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปกับเรื่องที่ไร้สาระ